หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ความหมายของประสิทธิภาพและประสิทธิผล

                ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นคำที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย  ซึ่งจะขอนำเสนอความหมายของคำทั้งสองดังนี้

ความหมายของประสิทธิภาพ
                สามารถให้ความหมายใน 2  ลักษณะ ได้แก่ความหมายเชิงเศรษฐศาสตร์  และความหมาย
เชิงสังคมศาสตร์

1. ความหมายเชิงเศรษฐศาสตร์
                สมศักดิ์  คงเที่ยง  (ม.ป.ป. 61) ได้ให้ความหมายของคำว่า ประสิทธิภาพ  หมายถึง  ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทรัพยากรที่ใช้กับปริมาณผลผลิตที่เกิดจากกิจกรรมหรือโครงการ  กล่าวคือ  ประสิทธิภาพจะแสดงถึงความสามารถในการผลิต  และความคุ้มค่าของการลงทุน
ประสิทธิภาพ หมายถึง การใช้ทรัพยากรในการดำเนินการใด ๆ ก็ตามโดยมีสิ่งมุ่งหวังถึงผลสำเร็จ และผลสำเร็จนั้นได้มาโดยการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด และการดำเนินการเป็นไปอย่างประหยัด ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา ทรัพยากร แรงงาน รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดำเนินการนั้นๆ ให้เป็นผลสำเร็จ และถูกต้อง (http://th.wikipedia.org )
ประสิทธิภาพ   หมายถึง  คำตอบที่ทำให้ทราบว่าการดำเนินงานนั้นได้ผลคุ้มค่ากับต้นทุนหรือไม่ และมีแนวทางที่ดีกว่า ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด   อีกนัยหนึ่งประสิทธิภาพหมายถึง การพิจารณาผลผลิต  ที่เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว  ว่าวิธีการผลิตใดเสียต้นทุนต่ำกว่าหรือประหยัดกว่า (จงกล ทองโฉม, http://gotoknow.org/blog/jongkolt/86944)
คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย  ให้ความหมายประสิทธิภาพ หมายถึง  อัตราส่วนระหว่างผลผลิตหรือผลงานกับการใช้ทรัพยากร
ฐิตินันท์  สุวรรณศิริ  ได้กล่าวถึงนักวิชาการที่ให้ความหมายของคำว่าประสิทธิภาพไว้ดังนี้
ยุวนุช กุลาตี (2548) ให้ความหมายประสิทธิภาพ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่นำเข้า(Input) และผลลัพธ์ที่ออกมา(Output) เพื่อสร้างให้เกิดต้นทุนสำหรับทรัพยากรต่ำสุดซึ่งเป็น การกระทำ อย่างหนึ่งที่ถูกต้อง (Doing things right) โดยคำ นึงถึงวิธีการ (Means)ใช้ทรัพยากร (Resources)ให้เกิดการประหยัดหรือสิ้นเปลืองน้อยที่สุด
เอลมอร์  ปีเตอร์สันและอี  กลอสวีนอร์ พลอแมน (Elmore Peterson and E. Grosvenor  Plawmam 1953) กล่าวว่า ประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารงานทางธุรกิจ หมายถึง ความ สามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการในปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสมและต้นทุนน้อยที่สุดโดยคำนึงถึงองค์ประกอบ 5 ประการ คือ ต้นทุน (Cost) คุณภาพ (Quality) ปริมาณ (Quantity) เวลา (Time)  วิธีการ (Method) ในการผลิต
เฮอร์เบิร์ต เอไซมอน (Herbert A. Simon 1960, 180-181) กล่าวว่า ถ้างานใดมีประสิทธิภาพสูงสุด ให้ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำเข้า (Input) กับผลิตผล (Output) ที่ได้รับออกมา ซึ่งสรุปได้ว่าประสิทธิภาพเท่ากับผลผลิต
ถ้าเป็นหน่วยงานราชการของรัฐ จะบวกความพึงพอใจของผู้รับบริการเข้าไปด้วยเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้
E =  (0-I) + S
E =  ประสิทธิภาพของงาน (Efficient)
O =  ผลผลิตหรือผลงานที่ได้รับออกมา (Output)
I  =  ปัจจัยนำเข้าหรือทรัพยากรทางการบริหารที่ใช้ไป (Input)
S =  ความพึงพอใจในผลงานที่ออกมา (Satisfaction)
กูด (Good 1973 , อ้างถึงใน บุญหนา   จิมานังและฤดี   แสงเดือนฉาย 5 )  หมายถึงความสามารถที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จตามความปรารถนาโดยใช้เวลาและความพยายามเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผลงานที่ได้สำเร็จได้อย่างสมบูรณ์

2.  ความหมายเชิงสังคมศาสตร์
แนวความคิดในเรื่องประสิทธิภาพในการปฏิบัติในเชิงสังคมศาสตร์จากเว็บไซต์  
http://isc.ru.ac.th/data/PS0001274.doc  หมายถึง   ปัจจัยนำเข้าซึ่งพิจารณาถึง   ความพยายาม  
ความพร้อม   ความสามารถ  ความคล่องแคล่งในการปฏิบัติงาน    โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับผลที่ได้  คือ   ความพึงพอใจของผู้รับบริการหรือ การบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้   ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้ความหมาย   ดังนี้
                ที.เอ.  ไรอัน  และ  พี.ซีสมิทธ์    ได้กล่าวถึง   ประสิทธิภาพของบุคคลว่า   เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ในแง่บวก   กับสิ่งที่ทุ่มเทให้กับงาน   เช่น  ความพยายามที่ได้รับจากงานนั้น
                ชุบ   กาญจนประกร   (2502,  40)  กล่าวว่า   ประสิทธิภาพเป็นแนวความคิดหรือความมุ่งมาดปรารถนาในการบริหารงานในระบอบประชาธิปไตย  ในอันที่จะทำให้การบริหารราชการได้ผลสูงสุด   คุ้มกับที่ได้ใช้จ่ายเงินภาษีอากรในการบริหารงานประเทศและผลสุดท้ายประชาชนได้รับความพึงพอใจ
                 อุทัย   หิรัญโต   (2525, 123)  กล่าวว่า   ประสิทธิภาพในทางราชการหมายรวมถึงผลการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ   และประโยชน์แก่มวลมนุษย์   (human  satisfaction   and   benefit   produced)   และยังต้องพิจารณาถึงคุณค่าทางสังคมด้วย   โดยการนำเวลาเข้ามาพิจารณาด้วย
                ธงชัย    สันติวงษ์   (2526,  198)   นิยามว่าประสิทธิภาพ  หมายถึง  กิจกรรมทางด้านการบริหารบุคคลที่ได้เกี่ยวข้องกับวิธีการ   ซึ่งหน่วยงานพยายามที่จะกำหนดให้ทราบแน่ชัดว่า   พนักงานของตนสามารถปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
                วิรัช   สงวนวงศ์วาน   (2531, 86)    กล่าวว่า   ประสิทธิภาพการบริหารงาน   จะเป็นเครื่องชี้วัดความเจริญก้าวหน้า    หรือความล้มเหลวขององค์กร   ผู้บริหารที่เชี่ยวชาญจะเลือกการบริการที่เหมาะสมกับองค์กรของตน   และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
                ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า  ประสิทธิภาพ  หมายถึง  ผลการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ  รวมถึงความพึงพอใจที่เกิดแก่ผู้รับบริการ  โดยใช้ทรัพยากรทางการบริหารอย่างคุ้มค่าและปริมาณการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
ความหมายของประสิทธิผล
                มีผู้ให้ความหมายของประสิทธิผลไว้ดังนี้
                ประสิทธิผล (Effectiv)  หมายถึง  แนวทางหรือวิธีการ  กระบวนการหรือตัววัดนั้นสามารถตอบสนองจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ดีเพียงใด การประเมินประสิทธิผล  ต้องประเมินว่าสามารถบรรลุความต้องการได้ดีเพียงใด  ด้วยการใช้แนวทางที่เลือก   การนำไปปฏิบัติหรือตัววัดที่ใช้  (ศูนย์ประกันคุณภาพการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ,2545)
               สมศักดิ์  คงเที่ยง  (หน้า 63) ได้ให้ความหมายของคำว่า ประสิทธิผล หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ของการทำงานกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
                นอกนากนี้ พรชัย  เชื้อชูชาติ  (2546, 31-32)  ได้กล่าวถึงความหมายของประสิทธิผลของนักวิชาการหลายท่าน  ดังนี้
                 ธงชัย  สันติวงศ์ (2535, 3)  กล่าวว่า  ประสิทธิผลเป็นการทำงานที่ได้ผลโดยสามารถบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
                ติน  ปรัชญพฤทธิ์ (2536, 130) ระบุว่า  ประสิทธิผล หมายถึง  ระดับที่คนงานสามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายมากน้อยเพียงใด
               กมลวรรณ ชัยวานิชศิริ (253632-33) ไดใหแนวคิดและความหมายของประสิทธิผลวา ประสิทธิผลของโรงเรียนไมน่าจะหมายถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหรือความพึงพอใจในการทํางานเพียงอยางใดอยางหนึ่ง  แตประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง การที่โรงเรียนสามารถผลิตนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง และสามารถพัฒนานักเรียนใหมีทัศนคติทางบวก ตลอดจนใหสามารถปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมทั้งภายใน ภายนอกรวมทั้งสามารถแกปัญหาภายในโรงเรียน ซึ่งจะทําใหเกิดความพึงพอใจในการทํางาน โดยเปนการมองประสิทธิผลของทั้งระบบ
               เปรมสุรีย  เชื่อมทอง (2536หนา 9) กลาววา ประสิทธิผล คือ ผลงานของกลุมซึ่งเปนไปตาม
เปาหมายที่วางไว ดังนั้นประสิทธิผลของโรงเรียนคือ ความสําเร็จของโรงเรียนที่สามารถทํา
หนาที่ใหบรรลุเปาหมายที่ตั้งเอาไว ทั้งนี้เกิดจากประสิทธิภาพของผูบริหารโรงเรียนที่สามารถใช
ความรูความสามารถและประสบการณในการบริหารงานเพื่อโนมนาวใหผูใตบังคับบัญชาปฏิบัติ
งานใหเกิดผลตามเปาหมายที่ตั้งเอาไว
เสริมศักดิ์  วิศาลาภรณ (2536 97)  กลาววา ประสิทธิผลขององคการ หมายถึงการที่
องคการสามารถดําเนินการจนบรรลุเปาหมาย หรือบรรลุวัตถุประสงคที่วางไว
ฟดเลอร (Fiedler, 1967,  9) กลาววาประสิทธิผล คือ การที่กลุมสามารถทํางานที่
ไดรับมอบหมายใหบรรลุวัตถุประสงคได      ซึ่งถือวาเปนประสิทธิผลของกลุม
สเตียรส (Steers,1977,  55) กลาววา  ประสิทธิผล คือการที่ผูนําไดใชความสามารถ
ในการแยกแยะการบริหารงาน และการใชทรัพยากรใหบรรลุวัตถุประสงคที่ตั้งไว
ไพรส (Price, 1963, p. 318 cited in Lawiess, 1979, p. 33)  ไดใหความหมายของคําว
ประสิทธิผล คือ ความสามารถในการดําเนินการใหเกิดผลตามเปาหมายที่ตั้งไว้ โดยมีตัวบงชี้
ความมีประสิทธิผลขององคการ 5 อยาง คือ   ความสามารถในการผลิต ขวัญ การปฏิบัติตาม
แบบอยาง การปรับตัว        และความเปนปกแผนขององคการ
ฮอย และมิสเกล (Hoy & Miskel, 1991, p. 373 citing Mott, 1972) ไดใหความหมาย
ของประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง การที่โรงเรียนสามารถผลิตนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียนสูง สามารถพัฒนานักเรียนใหมีทัศนคติทางบวก สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดลอมที่ถูกบีบ
บังคับได และรวมทั้งสามารถแกปญหาภายในโรงเรียนไดเปนอยางดี
จากความหมายข้างต้น  สรุปได้ว่า  ประสิทธิผล  คือกระบวนการทำงานที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายหรือนโยบายที่กำหนดไว้
 การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่เน้นหลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล
                จากการศึกษาความหมายของประสิทธิภาพและประสิทธิผล  สามารถสรุปได้ว่าการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่เน้นหลักประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น  เป็นการเน้นการจัดสรรทรัพยากรโดยยึดถือประโยชน์สูงสุดที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากร  และบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือนโยบายที่กำหนดไว้

ความหมาย รัฐประศาสนศาสตร์

          รัฐประศาสนศาสตร์ 

         บริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ ตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Public Administration” ซึ่งเป็นสาขาวิชาหนึ่งในคณะรัฐศาสตร์ หรือ สังคมศาสตร์ของทุกสถาบัน เช่น คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ หรือ ระบบราชการนั่นเอง รวมทั้งองค์กรของรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชนต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักเน้นเรื่องกรอบแนวความคิดด้านการบริหารองค์การและการจัดการ (Organization & Management) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management) การบริหารงานคลังและงบประมาณ (Fiscal Administration & Budgeting) การบัญชีรัฐบาล (Government Accounting) การวางแผนบริหาร (Administrative Planning) กฎหมายมหาชน (Public Laws) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานภาครัฐ (Public Information System) นโยบายสาธารณะ (Public Policy) การบริหารงานตำรวจ (Police Administration)  และจิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) 

               คุณสมบัติของผู้สนใจที่จะศึกษาต่อสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์  
               1. ควรมีพื้นฐานความรู้และชอบศึกษาในกลุ่มสาระฯ วิชาสังคมศึกษา โดยเฉพาะสาระการเรียนรู้ด้านหน้าที่พลเมือง และกฎหมาย หรือ ความรู้ทั่วไปทางรัฐศาสตร์ นั่นเอง
               2. สนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมืองโดยเฉพาะข่าวการเมือง ข่าวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ข่าวเศรษฐกิจการเมือง และนโยบายของรัฐบาล โดยสามารถวิเคราะห์วิจารณ์เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล
               3. ชอบและสนใจวิชาด้านการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ (Bureaucracy) เพื่อการพัฒนาประเทศ (Development Administration) โดยเฉพาะองค์กรที่มิได้มุ่งแสวงหากำไร (Non-Profit Organization) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิชานี้สามารถนำความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือด้านการบริหารไปปรับใช้ในองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไรได้เช่นกัน
               4. ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สหวิทยาการ เนื่องจากสาขาวิชานี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสาขาวิชาอื่นๆ มากมาย เช่น เศรษฐศาสตร์การเงิน-การคลัง การบัญชี การบริหารและการจัดการ กฎหมายปกครอง การพัฒนาสังคม การสื่อสารองค์กร จิตวิทยา และรัฐศาสตร์สาขาอื่นๆ 
               5. ควรมีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สถิติ และภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดี
               6. ต้องมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน โดยไม่ใช้กลไกของระบบราชการมากอบโกยผลประโยชน์เข้าพวกพ้อง และเข้าใจดีถึงทฤษฎีการพัฒนาประเทศ ความเสมอภาค และความยุติธรรมทางสังคม

               แหล่งงานสำหรับบัณฑิตสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์
               1. แหล่งงานภาครัฐ บัณฑิตสาขาวิชานี้สามารถทำงานด้านบริหาร นโยบาย และแผนงานได้ทุกหน่วยราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม กอง เช่น ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป  เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน เจ้าหน้าที่ประสานงาน เจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคล เลขานุการบริหาร นักวิชาการศึกษา ฯลฯ สำหรับผู้ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาต่างประเทศดีก็สามารถทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ หรือ นักการทูตได้ สำหรับในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชนก็มีตำแหน่งคล้ายคลึงกับหน่วยงานราชการ
               2. แหล่งงานภาคเอกชน ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า บัณฑิตสาขาวิชานี้ได้เรียนรู้ความรู้ และเครื่องมือทางการบริหารงานมากกว่าสาขาอื่นๆ ของวิชารัฐศาสตร์จึงทำให้บัณฑิตสามารถนำความรู้เทคนิคด้านการบริหารจัดการไปใช้ในการทำงานภาคเอกชนได้ดีในการบริหารงานทุกระดับของบริษัท โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้การคำนวณ และภาษาดี ขอบข่ายงานก็ยิ่งจะกว้างขวางมากขึ้น เช่น นักวิเคราะห์โครงการ นักวิเคราะห์การลงทุน นักวิเคราะห์ระบบงาน นักบริหารองค์การระดับสูงที่สามารถวิเคราะห์การบริหารเศรษฐกิจมหภาคได้

                การศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา
               บัณฑิตสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท หรือ เอก ในกลุ่มสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ได้เกือบทุกสาขา เช่น บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญา ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา นิเทศศาสตร์  ครุศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ ทุกสาขาวิชาเอก เป็นต้น 

               บุคคลที่มีชื่อเสียงและสำเร็จการศึกษาสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์  
               พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (รป.บ. (ตำรวจ)) กวาง (กมลชนก  เขมะโยธิน) อู๋ (ธนากร โปษยานนท์) พี่กี้ (อริสมันต์  พงษ์เรืองรอง) เม หรือ Mé (จีระนันท์ - - RS) สว. ระเบียบรัตน์  พงษ์พานิช  ดร.รุ่ง แก้วแดง (รมช.ศึกษาธิการ) คุณหญิงณฐนนท  ทวีสิน (ปลัดกรุงเทพมหานคร) นางจุฑามาศ  ศิริวรรณ (ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) และ ผู้ว่าราชการจังหวัดอีกมากมายทั่วประเทศ

ความหมายของประสิทธิผลในองค์กร

ความหมายของประสิทธิผล

             ปัจจุบันมีการศึกษาเรื่อง ประสิทธิผล (effectiveness) กันอย่างแพร่หลายและมี การนิยามความหมายแตกตางกัน โดยมีการใช้หลักเกณฑ์มาประกอบกัน โดยมีผู้ให้ ความหมายหรือคำนิยามต่าง ๆ กัน ดังนี้
             ประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถขององค์การที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย 4 ประการ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในองค์การ (integration) การปรับตัวของ องค์การให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม (adaptability) การปรับตัวขององค์การให้ สอดคล้องกับสังคม (social relevance) และผลผลิตขององค์การ (productivity)

             Georgopoulos and Tanenbaum ได้ให้ ทัศนะว่า ประสิทธิผลขององค์การ (organizational effectiveness) หมายถึง ความมากน้อย (extent) ของการที่องค์การ ในฐานะเป็นระบบทางสังคมสามารถบรรลุถึงวัตลุประสงค์ ได้โดยทรัพยากรและหนทางที่มีอยู โดยไม่ทำให้ทรัพยากรและหนทางเสียหายและ โดยไม,สร้างความตึงเครียดที่ไม่สมควรแก่สมาชิก ซึ่งมาตรการที่ใช้ในการวัดประสิทธิผล ขององค์การตั้งอยูบนวิธีการและเป้าหมาย (means and ends) โดยเกณฑ์บ่งชี๋ในการวัด ประสิทธิผล คือ ความสามารถในการผลิตขององค์การ ความยืดหยุ่นขององค์การในรูป ของความสำเร็จในการปรับตัวเขากับการเปลื่ยนแปลงภายในองค์การและความสำเร็จใน


             การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขนนอกองค์การ และการปราศจากความกดดัน หรือการขัดแยงรุนแรงระหว่างกลุมย่อยในองค์การระหว่างหน่วยงานในองค์การ Schein (1970, p. 177) มีความเห็นว่า ประสิทธิผลองค์การ หมายถึง สมรรถนะ (capacity) ขององค์การในการที่จะอยู่รอด (survival) ปรับตัว (adapt) รักษาสภาพ (maintain) และเติบโต (grow) ไม่ว่าองค์การนั้นจะมีหน้าที่ใดที่ต้องการให้ลุล่วง นอกจากนี้ยังให้ใช้ ข้อสังเกตว่า นักทฤษฎีเกี่ยวกับองค์การในยุคต้น ๆ พอใจที่จะกล่าวถึงเพียงเรื่อง "การแสวงหาผลกำไรสูงสุด,, (profit maximization)                             
             "การให้บริการที่มีประสิทธิภาพ" "ผลผลิตสูง" (high productivity) และ "ขวัญพนักงาน ดี" ว่าเป็นเกณฑ์วัดประสิทธิผลที่เพียงพอแล้ว แต่ปรากฎว่าเกณฑ์เหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะ อธิบายความเป็นจริงที่พบต่อมาว่าองค์การซึ่งชอบต้วยเหตุผล (rational) มีพฤติกรรมที่ นำไปสู่ความไม่มีประสิทธิผล ถ้าเกณฑ์เดียวที่องค์การนั้นใช้คือ การให้บริการที่ดี นอกจากนี้ยังพบว่าองค์การมีหลายหน้าที่ (multiple functions) ทื่จำเป็นจะต้องได้รับการ ปฏิบัติให้ครบถ้วน ตลอดจนมีหลายเป้าหมาย (multiple goals) ซึ่งบางเป้าหมายอาจขัดแย้ง กับเป้าหมายอื่น เช่น องค์การที่เป็นมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์หรือ ทัณฑสถาน ล้วนมีหลายหน้าที่หรือหลายเป้าหมาย ทุกเป้าหมายเป็นเป้าหมายเบื้องแรก (primary) มหาวิทยาลัยต้องสอนและในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความรู้ที่เชื่อถือไต้ด้วย การวิจัยโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ก็ต้องดูแลรักษาคนไข้และให้โอกาสการ เรียนรู้แก่แพทย์ฝึกงาน ทัณฑสถานก็ต้องเก็บตัวอาชญากรไว้เสียจากสังคม ในขณะเดียวกันก็ ต้องให้โอกาสฟื้นฟูอาชีพให้เป็นพลเมืองดีต่อไปเมื่อส่งกลับเข้าสังคม ดังนั้น ประสิทธิผล ขององค์การจะถูกตัดสินต้วยผลการปฏิบัติงานในหน้าที่หนึ่งหรือทั้งสองหน้าที่ แยกออก จากกันหรือ จากการผสมผสานกันหลายหน้าที่


             ประสิทธิผลขององค์การ ตามแนวความคิดตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นความพยายามที่จะ เพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง (segmentation) การปฏิบัติงานขององค์การเกือบโดยเด็ดขาด ทำให้ขาดความร่วมมือร่วมใจ ตลอดจน ไม่อาจริเริ่มสร้างสรรค์และไม่อาจจัดการกับความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได จึงเกิดแนวคิดที่ ตรงกันข้ามกับแนวคิดดั้งเดิม คือ แนวความคิดแบบผสมผสาน (integration approach) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงและการเสริมสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยมองภาพรวมว่ามีสิ่งใด เกี่ยวข้องในขอบเขตทึ่กว้างขวางและเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องนั้นเข้าด้วย กัน ลักษณะของ แนวความคิดนี้จะไม่หลบเลื่ยงความขัดแย้งแต่จะมองสิ่งขัดแย้ง (conflicts) เป็นเรื่อง จำเป็นที่ด้องเผชิญและแก้ไขเพื่อนำมาซึ่งการเปลึ่ยนแปลงที่สีขนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แนวทางนี้จึงเป็นพลวัต (dynamic) มีเป้าหมายอยู่ที่การพยายามทำงานให้สำเร็จด้วยดี


             ประสิทธิผลขององค์การ หมายถึง ความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมาย ที่ได้กำหนดไว้ โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สมาชิกเกิดความพอใจในงาน และองค์การโดยส่วนรวม สามารถปรับตัว และพัฒนาเพื่อดำรงอยู่ต่อไปได้

ความหมายของประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

ประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล


             ในการทำงานใดก็แล้วแต่มักมีการกำหนดวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายว่าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล  แต่ยังมีหลายคนสับสนกับคำว่าประสิทธิภาพ และประสิทธิผล แตกต่างกันอย่างไร  การทำงานที่ประสบผลสำเร็จวัดได้จากประสิทธิภาพหรือประสิทธิผล  เป็นข้อสงสัยที่ได้ยินมาเสมอ  ๆ ความแตกต่างระหว่างประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อความเข้าใจ จึงพอสรุปได้ว่า
             ประสิทธิภาพ(Efficiency ) หมายถึง กระบวนการดำเนินงานที่มีลักษณะดังนี้
             1. ประหยัด  (Economy)ได้แก่  ประหยัดต้นทุน(Cost)   ประหยัดทรัพยากร (Resources)  และประหยัดเวลา (Time)       
             2. เสร็จทันตามกำหนดเวลา  (Speed) 
             3. คุณภาพ (Quality)  โดยพิจารณาทั้งกระบวนการตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) หรือวัตถุดิบ มีการคัดสรรอย่างดีมีกระบวนการดำเนินงาน กระบวนการผลิต(Process)ที่ดี  และมีผลผลิต (Output) ที่ดี    
             ดังนั้น  การมีประสิทธิภาพจึงต้องพิจารณากระบวนการดำเนินงานว่า ประหยัด รวดเร็ว มีคุณภาพของงานซึ่งเป็นกระบวนการดำเนินงานทั้งหมด
             ประสิทธิผล  (Effective ) หมายถึง  ผลสำเร็จของงานที่เป็นไปตามความมุ่งหวัง (Purpose) ที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์  (Objective) หรือเป้าหมาย  (Goal)  และเป้าหมายเฉพาะ  (Target)  ซึ่งประกอบด้วย
             1.  เป้าหมายเชิงปริมาณ  จะกำหนดชนิดประเภทและจำนวนของผลผลิต  สุดท้ายต้องการที่ได้รับเมื่อการดำเนินงานเสร็จสิ้นลง
             2.  เป้าหมายเชิงคุณภาพ  จะแสดงถึงคุณค่าของผลผลิตที่ได้รับจากการดำเนินงานนั้น  ๆ
             3.  มุ่งเน้นที่จุดสิ้นสุดของกิจกรรมหรือการดำเนินงานว่าได้ผลตามที่ตั้งไว้หรือไม่           
             4.  มีตัวชี้วัด (Indicator) ที่ชัดเจน
ตัวอย่าง การแก้ปัญหายาเสพติดในสังคมไทย

                      หากคิดอย่างเน้นประสิทธิภาพ (Efficiency) ก็จะดูได้จาก การไล่ล่าจับยาเสพติด ซึ่งนับเป็นจำนวนเม็ดหรือมูลค่าซื้อขายในตลาดได้ หรือ การรับรักษาพยาบาลผู้ป่วย หากรับได้มาก เพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็ถือว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
                   หากคิดอย่างเน้นประสิทธิผล (Effectiveness) จะไม่ดูเพียงการปราบหรือปรามยาเสพติดในประเทศ แต่อาจเน้นการตัดเส้นทางยาเสพติดในเส้นทางสากล(International route) ด้วย หากจะดูแลผู้ป่วย คิดอย่างเน้นประสิทธิผล ก็ยังถือว่าเป็นการตั้งรับ ต้องเน้นไปที่การป้องกัน (Preventive measures) ตัดโอกาสที่เยาวชนจะเสี่ยงที่จะไปเสพยา การต้องส่งเสริมกิจกรรมไปจนถึงในครอบครัว ให้มีภูมิต้านทาน  ประสิทธิผล ต้องทำให้เกิดผลจริง และเป็นผลในทั้งระยะสั้นและยาว ทำให้สังคมไทยปลอดยาเสพติด